กลายเป็นเหตุสุดช็อกเมื่อ หนุ่มชาวอเมริกันคลั่งไล่ ทำร้ายหญิงเอเชีย ถึง 7 คน ภายใน 3 ชั่วโมง ตร.ชี้เป็นอาชญากรรมทางความเกลียดชัง เมื่อวันที่ 5 เมษายน สำนักข่าว ชาแนลนิวส์เอเชีย รายงานว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ตั้งข้อหาชายวัย 28 ปี ที่ก่อเหตุทำร้ายร่างกายหญิงเชื้อสายเอเชีย ในนครนิวยอร์ก ประเทศสหรัฐอเมริกา ถึง 7 คน ภายในวันเดียว โดยเขาลงมือก่อเหตุอุกอาจนี้ตั้งแต่เวลา 18.00 น. ถึง 21.00 น. ของวันที่ 2 มีนาคม ตามเวลาท้องถิ่น
โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจระบุว่า คนร้ายได้ดักซุ่ม
ก่อนจะลงมือทำร้ายร่างกายหญิงจากข้างหลัง ซึ่งการโจมตีครั้งนี้ไม่มีเหตุผลอื่น นอกจากเชื้อชาติของเหยื่อเท่านั้น ซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจระบุว่าเหตุการณ์นี้เป็นอาชญากรรมทางความเกลียดชัง เบื้องต้นเจ้าหน้าที่ได้ตั้งข้อหา ก่ออาชญากรรมจากความเกลียดชังในระดับ 3 และข่มขู่คุกคามในระดับ 2
อย่างไรก็ตามนับตั้งงแต่ปี 2563 หรือช่วงที่โควิด-19 เริ่มแพร่ระบาดขึ้น เหตุการทำร้ายร่างกายชาวเชื้อสายเอเชียก็พุ่งสูงขึ้น โดยในเดือนกุมภาพันธ์เพียงเดือนเดียวมีชาวเอเชียถูกทำร้ายในนิวยอร์กมากถึง 33 ครั้ง และถือเป็นจำนวนที่มากที่สุดนับตั้งแต่ปี 2553
กลายเป็นกระแสวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักในสื่อสังคมออนไลน์ หลังจากที่ เด็ก ม.4 โดดตึก ฆ่าตัวตาย ต่อหน้าพ่อ เหตุถูกกดดันเรียนหนัก
เมื่อวันที่ 3 เมษายน สำนักข่าว เวียดนามนิวส์ รายงานว่า เกิดเหตุเศร้าขึ้นในประเทศเวียดนาม หลังจากที่กล้องวงจรปิดในบ้านหลังหนึ่งสามารถจับภาพวินาทีที่ เด็กชาย ม.4 ได้กระโดดลงจากชั้น 28 ต่อหน้าพ่อของตน ที่มานั่งเฝ้าลูกชายของเขาอ่านหนังสือตอนตี 3 ของวันที่ 1 เมษายน ที่ผ่านมา
โดยจากคลิปแสดงให้เห็นว่า พ่อลูกคู่นี้ได้มีปากเสียงกัน ซึ่งลูกชายก็ได้เปิดประตูระเบียงออกไป พร้อมบอกให้พ่ออ่านข้อความจดหมายบนโต๊ะ ในขณะที่พ่อกำลังจดหมาย ลูกชายก็ได้กระโดดระเบียง ส่วนพ่อที่เห็นเหตุการณ์ก็พยายามคว้าตัวลูกเอาไว้แต่ไม่ทัน
ซึ่งจดหมายลาตายของลูกนั้นถูกเผยแพร่เป็นอย่างมากในสื่อสังคมออนไลน์ โดยเนื้อหาในจดหมายคือ ลูกชายขอโทษครอบครัว พร้อมตัดพ้อว่า ชีวิตของเขาเหนื่อย ซึ่งเขาก็ได้ระบุว่า แม่เป็นคนที่เอาใจใส แต่ทำอะไรไม่ถูกต้อง พร้อมจิกกัดพ่อด้วยว่าเป็นคนที่ไม่ใส่ใจและอารมณ์ร้อน และปิดท้ายจดหมายว่า วันที่ 1 เมษายน ชีวิตเป็นเรื่องหน้าโง่
หลังจากที่คลิปดังกล่าวได้รับการเผยแพร่ออกไป ก็ทำให้มีชาวเน็ตออกมาวิพากษ์วิจารณ์เป็นอย่างมาก พร้อมโจมตีไปที่พ่อของเด็กที่กดดันจนทำให้เด็กชายคนนี้เสียชีวิต
อินโดนีเซีย จอร์แดน อิรัก เคนยา จีน เกาหลีเหนือ คอสตาริกา คูเวต เลบานอน เลโซโท มอริเชียส มาดากัสการ์ มาเลเซีย มัลดีฟส์ โมรอกโก โมซัมบิก มอลโดวา มองโกเลีย เมียนมา นามิเบีย โอมาน ปากีสถาน เปรู ซาอุดีอาระเบีย เซเชลส์ เซอร์เบีย ซีเรีย แทนซาเนีย ตูนิเซีย ตุรกี อุรุกวัย ฟิจิ ฟิลิปปินส์ ศรีลังกา เอธิโอเปีย แอฟริกาใต้ และจาเมกา
อย่างไรก็ดี ในรายชื่อ 52 ประเทศนี้ยังไม่ได้มีการเปิดเส้นทาง ประเทศที่ถูกจัดว่า “ไม่เป็นมิตร” หรือกลุ่มประเทศที่ออกมาตรการคว่ำบาตร เพื่อกดดันให้กองทัพรัสเซียหยุดรุกรานประเทศยูเครน ตั้งแต่วันที่ 24 ก.พ. ที่ผ่านมา
คู่สามีภรรยาญี่ปุ่น หย่า ทุก 3 ปี เพื่อสลับกันใช้นามสกุลของอีกฝ่าย
กลายเป็นเรื่องราวสุดประหลาดในประเทศญี่ปุ่น หลังจากที่ คู่สามีภรรยาญี่ปุ่น หย่า ทุกๆ 3 ปี เพื่อที่ว่าจะสลับกันใช้นามสกุลของอีกฝ่าย หลังจากที่ต่างฝ่ายต่างไม่ยอมทิ้งนามสกุล
เมื่อวันที่ 27 มีนาคม สำนักข่าว ไมนิจิ ได้ออกมาเปิดเผยถึงเหตุการณ์สุดแปลกประหลาดที่เกิดขึ้นในประเทศญี่ปุ่น โดยมีคู่สามีภรรยาคู่หนึ่งหย่ากันทุกๆ 3 ปี ไม่ใช่เพราะมีเรื่องทะเลาะเบาะแว้งหรืออะไร แต่เป็นเพราะต่างฝ่ายต่างอยากใช้นามสกุลของตนเอง
โดยตามกฎหมายของประเทศญี่ปุ่นนั้นระบุว่า สามีภรรยาต้องเลือกใช้นามสกุลเดียวกัน ซึ่งทั้งฝ่ายชายและฝ่ายหญิงนั้นไม่อยากทิ้งนามสกุลเกิดของตัวเอง จึงตัดสินใจหย่าและแต่งงานใหม่ทุกๆ 3 ปี เพื่อสลับกันใช้นามสกุลของอีกฝ่าย
ซึ่งทั้งคู่เล่าย้อนกลับไปตอนที่เพิ่งคบกันว่า ทั้งคู่รู้สึกเข้ากันได้ดีและตัดสินใจแต่งงานกันแม้จะเพิ่งคบกันได้ไม่กี่เดือน จากการพูดคุยก็พบว่าทั้งคู่ต่างมีความเห็นเรื่องนึงไม่ตรงกันคือเรื่องการเปลี่ยนนามสกุลของตนเองหลังแต่งงาน จนนำไปสู่การทะเลาะกัน
โดยฝั่งหญิงเล่าว่าเธอชอบนามสกุลของเธอ เพราะเพื่อสนิทของเธอตั้งชื่อเล่นที่พ้องเสียงกับชื่อเล่นของเธอ ขณะที่ฝ่ายชายคิดว่าควรจะเป็นฝ่ายหญิงที่ต้องเปลี่ยนนามสกุลมาเป็นของฝั่งชาย ก่อนที่ทั้งคู่จะตัดสินใจหย่าและแต่งงานใหม่เพื่อให้ทั้งสองฝ่ายได้ข้อตกลงที่ลงตัว
ทั้งนี้ทั้งคู่จะหย่ากันอีกครั้งในเดือนกรกฎาคมที่จะถึงนี้ หลังจากที่ทั้งสองแต่งงานครั้งล่าสุดเมื่อปี 2562 ซึ่งการแต่งงานคราวนี้จะเป็นการกลับไปใช้นามสกุลของฝ่ายชาย ทั้งนี้ทั้งสองวางแผนว่าในอนาคตพวกเขาจะไปแต่งงานที่ต่างประเทศเพื่อที่ให้พวกเขาสามารถรักษานามสกุลของตนเองไว้ได้ โดยไม่ต้องเปลี่ยนไปเปลี่ยนมา
Credit : แนะนำสถานที่ท่องเที่ยว | แต่งบ้านและสวน | พระเครื่อง | รีวิวกล้องถ่ายรูป